khaothai
อาจารย์เคมี ถามแยกสาโท-ข้าวหมากออกไหม แนะตรวจแอลกอฮอล์ในที่เกิดเหตุ
August 17, 2018อาจารย์เคมี
อาจารย์เคมี ถามแยกสาโท-ข้าวหมากออกไหม แนะตรวจแอลกอฮอล์ในที่เกิดเหตุ
อาจารย์เคมี แนะ / จากกรณีเจ้าหน้าที่สรรพสามิตบุรีรัมย์ตรวจจับ นางเสน่ห์ ป่วงรัมย์ อายุ 60 ปี แม่ค้าขายข้าวหมาก ข้อหาจำหน่ายสาโทโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า เป็นการจับการขายเหล้าสาโท ขณะที่ยายออกมายืนยันว่า เป็นน้ำข้าวหมากไม่ใช่สาโทนั้น
วันที่ 16 ส.ค. นายวีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า น้ำข้าวหมากและสาโทมีลักษณะเหมือนกัน เพราะมีวิธีในการผลิตออกมาแบบเดียวกัน เพียงแต่แตกต่างกันที่สูตรของลูกข้าวแป้งที่จะเอามาใช้หมัก ที่ทำให้ได้ปริมาณแอลกอฮอล์หรือดีกรีที่ต่างกัน
โดยน้ำข้าวหมากปริมาณแอลกอฮอล์จะต่ำกว่ามาก ส่วนสาโทปริมาณแอลกอฮอล์จะเข้มข้นแต่ไม่เกิน 15 ดีกรี จึงต้องถามว่า เจ้าหน้าที่สรรพสามิตตอนตรวจจับได้มีการตรวจระดับแอลกอฮอล์หรือไม่ว่าเป็นน้ำข้าวหมากหรือสาโทกันแน่ ซึ่งกรมสรรพสามิตก็มีชุดทดสอบในการวัดปริมาณแอลกอฮอล์อยู่แล้ว
นายวีรชัย กล่าวว่า กระบวนการในการทำ “ข้าวหมาก” คือ จะใช้ข้าวเหนียวมาหุงเพื่อฆ่าเชื้อและนำมาหมักกับ “ลูกข้าวแป้ง” ซึ่งประกอบด้วย เชื้อราและยีสต์ โดนเชื้อราจะมีเอนไซม์เดียวกับน้ำลายของคน คือ เอนไซม์อะไมเลส ที่จะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งให้พลังงานสูงมาก ร่างกายสามารถดึงไปใช้โดยไม่ต้องย่อย ส่วนยีสต์จะทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งสังเกตได้จากกลิ่นและการเกิดฟอง
เพราะกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์จะเกิดการดึงคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งการทำข้าวหมากจะหมักแค่ 3 วัน ก็ตักใส่กระทงขายได้เลย ส่วนน้ำที่เหลือคือ “น้ำข้าวหมาก” ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่สูง แต่หากล่อยทิ้งไปเรื่อยๆ ยีสต์ก็จะทำงานต่อ ปปริมณแอลกอฮอล์จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
นายวีรชัย กล่าวอีกว่า ส่วนการทำสาโทนั้นจะใช้ลูกแป้งเหมือนกันแต่เป็นคนละสูตรกับข้าวหมาก โดยใช้สูตรที่มียีสต์มากขึ้นหรือยีสต์สายพันธุ์ที่ช่วยเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์เร็วขึ้น เพราะหากจะทำสาโทขายคงไม่ใช้สูตรลูกแป้งข้าวหมากที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้แอลกอฮอล์สูงแบบสาโท จึงใช้สูตรลูกแป้งสาโทโดยเฉพาะในการทำ
ซึ่งจะช่วยให้ได้ปริมาณแอลกอฮอล์มาก และใช้เวลาในการหมักสั้นลง เมื่อกรองเอาน้ำออกมาก็จะได้น้ำสาโทที่ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15% แบบเดียวกับพวกไวน์ขาว ไวน์แดง ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์พอๆ กัน และหากเอาสาโทไปกลั่นก็จะได้เหล้าขายที่มีแอลกอฮอล์ 55-70%
การขายข้าวหมากที่เป็นของแข็งเลยนั้น ไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะได้รับการยกเว้นชัดเจนว่าไม่ผิด แต่หากนำน้ำข้าวหมากมาขายด้วยก็มีความสุ่มเสี่ยง เพราะลักษณะเหมือนกับสาโท เพียงแต่ดีกรีแอลกอฮอล์น้อย อาจไม่ถึง 0.5% ด้วยซ้ำ แต่หากปล่อยทิ้งไว้นานขึ้นน้ำข้าวหมากก็จะมีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น แต่เพิ่มอย่างช้าๆ เพราะยีสต์ยังคงทำงาน
ซึ่งการตรวจจับมองว่าต้องตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ตรงนั้นเลยว่า เป็นน้ำข้าวหมากหรือสาโทกันแน่ ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์จะบอกได้ แต่หากมาตรวจตอนหลังแล้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ของน้ำข้าวหมากย่อมเพิ่มแน่นอน ตรงนี้ก็จะไม่ยุติรรม เหมือนเวลาไปตรวจผับ ตรวจปัสสาวะก็ต้องตรวจเดี๋ยวนั้นเลย
จริงๆ อยากให้กรมสรรพสามิตไปสนใจการตรวจในงานแฟร์ต่างๆ มากกว่า เพราะภายในงานมีการหมักไวน์กันแบบโต้งๆ เลย แต่บอกว่าขายน้ำผลไม้ ทั้งที่จริงแล้วมีฟองก๊าซเกิดขึ้นนั่นคือเกิดแอลกอฮอล์ แล้วมาแปะฉลากว่าเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ทั้งที่จริงไม่ใช่เลย อยากให้ไปตรวจสอบตรงนี้ด้วยมากกว่า
ส่วนเรื่องนี้เป็นเรื่องดราม่าที่ต้องมองกันหลายมุม อย่างเรื่อของความเมตตาที่ควรจะการตักเตือนกันก่อนหรือไม่ หรือเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะอย่างที่บอกว่าเมื่อขายเป็นน้ำก็มีความสุ่มเสี่ยง เพราะอาจเป็นสาโทก็ได้ และหากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ก็อาจเกิดการทำเหล้าเถื่อนอย่างเสรี
อ่าน สรรพสามิต แจงพัลวันไม่ได้จับข้าวหมาก ซัดยายขายสุราแช่ 11 ถุง ชี้ปล่อยข่าวดิสเครดิตรัฐบาล
อ่าน เปิดภาพนาที จับยายข้าวหมาก สรรพสามิต ยัน แอบซุกสาโท 11 ถุง
Cr:https://www.khaosod.co.th
0 comments